ภาษาดอกไม้ ในยุควิกตอเรียน (ค.ศ. 1837-1901) ดอกไม้ทำหน้าที่คล้ายการส่งข้อความในยุคปัจจุบัน เป็นที่รู้กันว่าราชินีวิกตอเรียทรงโปรดดอกไม้มากและความนิยมของราชินีก็มักเป็นเครื่องบ่งชี้ทางสังคมที่ทำให้เหล่ากุลสตรีน้อยใหญ่ต้องหันมาสนใจและเรียนรู้ศิลปะการใช้ดอกไม้กันอย่างกว้างขวาง
การให้ความหมายและการจัดวางดอกไม้กลายเป็นเรื่องจริงจังที่ตีความกันตั้งแต่ชนิด รูปร่าง สี ขนาด ไปจนถึงสภาพของดอกไม้ที่ได้รับ ยกตัวอย่างเช่น การให้ดอกไม้กลับด้านหมายถึงข้อความต้องตีความกลับหัว การรับหรือส่งดอกไม้ด้วยมือซ้ายหรือขวาก็มีข้อความซ่อนอยู่
ในสมัยนั้น การประดับดอกไม้กลายเป็น a must ในสังคมชั้นสูงอังกฤษ โดยเฉพาะในงานสำคัญอย่างการจัดปาร์ตี้หรือพิธีแต่งงาน ที่เป็นแบบนี้เพราะสังคมชั้นสูงในยุคนั้นประหยัดถ้อยประหยัดคำและมองว่าการแสดงอารมณ์ทางสีหน้าหรือการกล่าววาจาที่มากเกินไปเป็นเรื่อง ‘ไม่สุภาพ’ จึงเลือกใช้อะไรที่นุ่มนวล สวยงาม และเงียบกว่า อย่างการพูดจาผ่านช่อดอกไม้ (talking bouquets)
การเลือกจัดช่อดอกไม้แบบไหน ประกอบด้วยดอกอะไร ส่งให้ใคร ในโอกาสไหน ถือเป็นเรื่องสำคัญ ชนชั้นสูงของอังกฤษจะสามารถเข้าใจความคิดและสถานการณ์ของอีกฝ่ายได้ในทันทีที่ได้รับช่อดอกไม้จากคู่สนทนา
ให้ดอกไหนหมายความว่าอะไร มาเปิดพจนานุกรมดอกไม้กัน ภาษาดอกไม้
ภาษาดอกไม้ ในยุคนั้นมีการตีพิมพ์สิ่งที่เรียกว่า พจนานุกรมดอกไม้ หรือ floral dictionary เพื่อป้องกันการสื่อสารผิดพลาด ดังนั้นหากได้รับช่อดอกไม้ แทนที่จะดีใจกับความสวยงาม จะต้องรีบค้นหาว่าดอกไม้ช่อนี้มีดอกอะไรบ้าง จัดวางแบบไหน แล้วควรจะตีความเจตนาของผู้ให้อย่างไรดี ตัวอย่างการถอดข้อความโค้ดลับดอกไม้ ยกตัวอย่างเช่น
- Wild Rose – ฉันทั้งสุขและเจ็บปวดไปพร้อมกัน
- Yellow Marguerite – ฉันจะมาถึงในไม่ช้า
- Canterbury bells – ฉันได้รับข้อความของคุณแล้ว
- White Lily – ฉันรักคุณอย่างบริสุทธิ์ใจ
- Iris – ฉันส่งข้อความไป
- Daisy – ฉันรักคุณจากใจจริง
- Red Carnation – ใจฉันเจ็บปวดเพราะคุณ
- Apple Blossom – ฉันเลือกคุณก่อนใครทั้งหมด
- Honeysuckle – ฉันรักและภักดีต่อคุณ
- Cornflower – โปรดอ่อนโยน โปรดสุภาพกับฉัน
- Red Tulip – ฉันสารภาพว่ารักคุณ
- White Rose – ฉันขอปฏิเสธ
- Poppy – ฉันไม่ว่าง
- Red Fuchsia – ฉันชอบรสนิยมของคุณ
- Hyacinthe – ฉันหลงใหลในความน่ารักของคุณ
- Yellow Pansy – ฉันมีคุณอยู่ในความคิด
- Clove – ฉันรักคุณมาตลอดแต่คุณไม่เคยรักฉัน
- Flax – ฉันเข้าใจในความหวังดีของคุณ
- Mistletoe – ฉันฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหมด
- Tansy – ฉันขอเป็นศัตรูกับคุณ
- Meadow Saffron – ความสุขของฉันได้ผ่านไปแล้ว
- Liatris – ฉันจะลองอีกครั้ง
หากใครได้รับช่อดอกไม้ที่ประกอบด้วย Tupins, Hollyhocks, White Heather และ Ragged Robin ดอกไม้ช่อนี้ตีความได้ว่า ผู้ให้รู้สึกประทับใจและรักในความคิดสร้างสรรค์ของคุณ ขอให้คุณโชคดีและประสบความสำเร็จในทุกทาง ในทางกลับกัน หากช่อดอกไม้ที่ได้รับประกอบไปด้วย Delphiniums, Hydrangeas, Oleander, Basil, และ Birdsfoot Trefoil ปนอยู่ด้วยกัน ดอกไม้ช่อหลังต้องการบอกผู้รับว่า คุณมันไม่มีหัวใจ (Hydrangeas) หยิ่งผยอง (Delphinium) ฉันเกลียดคุณ (Basil) ระวังเอาไว้เถอะ (Oleander) เพราะฉันจะกลับมาแก้แค้น (Birdsfoot trefoil)
การสื่อสารข้อความให้ชัดเจนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหมายความว่าเจ้าของข้อความจะต้องสามารถหาดอกไม้ตามความหมายได้ครบทุกชนิด ยกตัวอย่างเช่น Moonwort ต้นเฟิร์นชนิดหนึ่งที่มีความหมายสื่อถึงการลืมแบบไม่ได้ตั้งใจ เป็นต้นไม้ที่พบได้เฉพาะหน้าร้อน ดังนั้นการจะบอกใครสักคนว่า “ฉันไม่ได้ตั้งใจลืมวันเกิดเธอ” อาจเป็นเรื่องใหญ่ในหน้าหนาว หมายความว่าผู้ดีมีอันจะกินส่วนใหญ่อาจต้องลงทุนมหาศาลในการสร้างเรือนเพาะต้นไม้ของตัวเอง เพื่อให้มีดอกไม้ไว้ใช้เพียงพอรองรับสถานการณ์ตลอดปี
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ในยุควิกตอเรียน สังคมผู้ดีหรูหราฟู่ฟ่าจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมและลัทธิจักรวรรดินิยม หลายตระกูลเลือกสร้างคฤหาสน์หรือโรงเรียนดนตรีขนาดใหญ่เพื่อโอ้อวดความมั่งมี เนื่องจากถ่านหินและแรงงานมีราคาถูกมาก การสร้างเรือนกระจกสักหลังและปรับสภาพอากาศให้เหมือนหน้าร้อนตลอดเวลาก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถ
เมื่อคนไม่สนใจความหมายของดอกไม้อีกต่อไป
ความฟู่ฟ่าของการลงทุนเพื่อสื่อสารด้วยดอกไม้นี้จบลงเมื่อโลกเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914-1918) ประเทศอังกฤษหันความสนใจไปที่การสู้รบและพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เคยเป็นสวนสวยงามถูกดัดแปลงเป็นสิ่งที่คุ้มค่าและใช้การได้จริงมากกว่า เมื่อสงครามจบลงพร้อมภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก แม้แต่คนรวยก็ไม่สนใจการลงทุนมากมายเพื่อดอกไม้อีกต่อไป ทุกวันนี้ดอกไม้เพียงอย่างเดียวที่ชาวอังกฤษหลีกเลี่ยงในการส่งหากันคือดอกลิลลี่ เพราะมีความหมายเกี่ยวข้องกับงานศพ (ดอกลิลลี่สีขาวคือสัญลักษณ์ของพระแม่มารี และมักใช้สื่อถึงความตายที่บริสุทธิ์)
I Love Roses บริษัทจัดหาดอกไม้ชื่อดังของอังกฤษให้สัมภาษณ์ว่า คู่แต่งงานปัจจุบันไม่สนใจความหมายของดอกไม้อีกต่อไป แต่มักส่งตัวอย่างดอกไม้ที่ต้องการตามภาพจาก pinterest คู่แต่งงานเหล่านี้สนใจสีสันและความสวยงามมากกว่าข้อความที่แฝงอยู่ภายใน หนึ่งในข้อยกเว้นที่น่าสนใจคือช่อดอกไม้งานแต่งของดัชเชสแห่งเคมบริดจ์เมื่อปี 2011 เมื่อ Kate Middleton เข้าพิธีแต่งงานกับรัชทายาทแห่งอังกฤษด้วยช่อดอกไม้ที่คนทั่วไปมองว่าแสนธรรมดา แต่มีความหมายยิ่งใหญ่ในสายตาผู้ศึกษาข้อความจากดอกไม้
ช่อดอกไม้ของดัชเชสประกอบด้วย Myrtle และ Ivy หมายถึงความรักและความผูกพันจากการแต่งงาน Hyacinth หมายถึง กิจกรรมกลางแจ้ง เพราะทั้งสองรักการกีฬา และ Sweet William หมายถึง ความกล้าหาญ แถมดอกไม้ยังมีชื่อพ้องกับเจ้าชายวิลเลียม Sweet William ในที่นี้จึงหมายถึง วิลเลียมผู้เป็นที่รัก